วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2551

วิถีเปลี่ยน...ชีวิตเปลี่ยน...สถานะเปลี่ยน....

0000ด้วยความรักความผูกพันธ์กันมาตั้งแต่ชาติปางก่อนหรือเกิดมาแล้วค่อยได้ร่วมชตากรรมกันครอบครัวเราทั้งสองเปรียบเหมือนครอบครัวเดียวกันลูกทั้ง 5 คน ต่างเรียกเราว่าพ่อไก่ พ่อแก้ว แม่ลุ่ม แม่ตุ๋น ครูแก้วเป็นคนดีคนหนึ่งที่ได้ดีแล้วไม่ลืมเพื่อนฝูงญาติพี่น้องและ ครอบครัว ครูแก้วไปเป็น ส.ส.อันทรงเกียรติของสภาไทยตามครูรุ่นพี่ไม่ว่าครูไพจิต ครูอรรถสิทธิ์(คันคาย)....เรามีโอกาสได้ไปเหยียบสภาหินอ่อนก่อนใครเพื่อนในบรรดาผู้สมัครส.ส.ของชาวครูเรา เพราะ...เราถูกยืมตัวไปช่วยราชการที่สำงานงานเลขาธิการรองนายกรัฐมนตรี(ฝ่ายความมั่นคง)พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ...แต่ไปช่วยงานส่วนตัวให้กับนายศุภชัย โพธิ์สุ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครพนม เขตเลือกตั้งที่ 5 จังหวัดนครพนม ร่วมกับ นายพจนาท พิมสาร ปลัดอำเภอศรีสงคราม เพื่อนเราอีกคน...เราเข้ากรุงเทพ...ปลัดนาท...อยู่ที่สำนักงานบ้านส.ส.ที่ศรีสงครามทำงานธุระการ เราไปเป็นคนขับรถ...เป็นคู่คิด...คู่กัด...ปรึกษาหารือ...วิ่งงานกระทรวง ทบวง กรม ขึ้นลงกรุงเทพ นครพนม เมื่อมีงานในพื้นที่ งานเปลี่ยน บุคคลิคเปลี่ยน จากงานสอนมาเป็นงานสั่ง จากเตรียมการสอน เตรียมงานให้เด็ก กลายเป็นเตรียมงานให้ผู้ใหญ่ ทั้งภารกิจที่ต้อิงทำประจำของหน้าที่ ส.ส.งานอภิปราย กลั่นกรองเอกสาร คำพูดในที่ต่างให้ส.ส.เตรียมตารางงานแทนตารางสอน...ทำงานไม่มีปิดเทอม...ไม่มีเสาร์อาทิตย์ ไม่มีเวลา เอาเวลานอนเป็นเกณฑ์หลับแล้วถือว่าหมดหน้าที่ในวันนั้น...สิ่งที่ได้จากงานนั้นคือ...เกียรติภูมิ...เกียรติยศ

วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2551

มุ่งมั่น...ตั้งใจ...คือชัยชนะ...

ooooเราปฏิเสธเพื่อนด้วยความเจ็บใจตัวเอง...เหตุผลอะไรที่เข้าข้างตัวเองได้เรานำมาใช้ในการเจรจาทั้ง ๒ ครั้งว่า...ในสภาวะการณ์ปัจจุบันเป็นไปไม่ได้ที่จะได้เป็นผู้แทนทั้งสองคน...ประการต่อมาเงินไม่มีเอาไหนเติมน้ำมัน...รถที่ใช้ในการหาเสียงมีหกล้อบรรทุกอ้อยของครูแก้วอยู่หนึ่งคัน...เพื่อนฝูงรอบข้างเขาส่ายหน้าเหมือนพัดลม...เพื่อนๆไม่ได้ห้ามแต่บอกว่าอย่าทะลึ่ง...ไฝ่สูงเกินเหตุบางคนว่า...ยังไม่ถึงเวลาผู้หวังดีปลอบใจ...สุดท้ายครูแก้วลงสมัครในนามพรรคพลังธรรมคู่กับ ธงทิพย์ แห่สถิตย์ (ปัจจุบันเป็นส.อบจ.เขตอ.ศรีสงคราม)ญาติธรรมคนขับแท็กซี่จากเมืองร้อยเอ็ด เขยเรณู...เรารอดตายจากความหวังดีของเพื่อน...สุดท้ายผู้สมัครเบอร์9 เบอร์10 จากพลังธรรมไม่ได้เป็นผู้แทน...มีทั้งคำปลอบใจ...มีทั้งคำสมเพศ...จากสาธารณชนและคนใกล้เคียง แต่ครูแก้วเพื่อนเรา...ไม่ยอมถอย...จะด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจหรือจากคะแนนที่พี่น้องประชาชนที่มอบหมายให้...สูงพอสมควร...เพราะครูแก้วใช้วิธีสาเสียงด้วยการหาเสียงจริงๆคือเคาะประตูบ้านทุกบ้านพูดไฮค์ปาร์ค ปราศรัยหาเสียงทุกหมู่บ้านมีคนฟังหรือไม่ไม่สนใจ...ต่างกับตนอื่นที่เขาหาคะแนน...ผู้แทนเก่า ผู้สมัครเก่า...เขาใช้ระบบ 3 จ.คือ จัดตั้ง..จดชื่อ...แล้วก็ แจก...แต่ทีมเราพูดอย่างเดียว...จนครูแก้วเสียงหมดในอาทิตย์แรก...ตะโกนใส่ไมค์ด้วยความสะใจ จะมีคนฟังหรือไม่...ไม่รู้...ขอพูดก่อน...ผลการเลือกตั้งทำให้ครูแก้ว เบอร์9 อยู่ในใจประชาชน ...และได้เป็นผู้แทนสมใจในกาลต่อมา...เราก็คอยแต่ให้กำลังใจ...โอกาสยังไม่มา...สู้ต่อไป...โดยครูแก้วไม่ยอมกลับเข้ารับราชการครูเหมือนเพื่อนครูคนอื่น...ทำกิจกรรมทางการเมืองต่อ...ลงเลือกตั้งซ่อมในครั้งต่อมาแข่งกับนพ.ประสงค์ บูรณ์พงศ์ แทนนายทนง ศิริปรีชาพงศ์(ป.เป็ด)ที่โดนข้อหาค้ายาเสพติดข้ามชาติและไปติดคุกที่อเมริกา...ลงสมัครสองคน...เขาเลือกเอาคนเดียวเกือบได้...เพราะได้ที่สอง...สมัครในนามพรรคฝ่ายค้าน แพ้ครั้งที่สองสิ่งที่ได้คือความแข็งแกร่ง...และประสบการณ์...ครั้งที่สามสมัครในนามพรรคประชาธิปัตย์...แพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เบอร์...เพราะคนนครพนมส่วนใหญ่ไม่เอาพรรคนี้...แถมถูกชาวบ้านหลอกอีกต่างหาก...สุดท้ายเพื่อนเราได้แค่ สจ.เขตศรีสงคราม ในการลงรับเลือกตั้งในสนามครั้งที่สี่...สมใจอยากถึงแม้จะเป็นสนามเล็กก็ตาม...ครูแก้วได้ประโยชน์จากการเป็น สจ.อาศัยสภาจังหวัดนครพนม แสดงความโดดเด่นที่มีโชว์ฝีมือของดาวสภาให้คนนครพนมเห็น...และได้เป็นสมาชิกของพรรคพ่อใหญ่จิ๋วพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ ขวัญใจของคนอีสาน ให้ลงสมัครในนามของพรรคตามรัฐธรรมนูญปี 2540 แบบเขตเดียวเบอร์เดียวและทำให้เพื่อนเราได้เป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดนครพนม เขตเลือกตั้งที่ 5 อำเภอศรีสงคราม นาหว้า นาทม และเขตตำบลบ้านค้อ(อำเภอโพนสวรรค์)...ตั้งแต่ปี 2544 เป็นมา

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เส้นทางเดิน....เปลี่ยนตามแถน(เทวดา)ขีดเส้นมา


000000คนที่ไม่(ค่อย)เคยขัดใจใครมีเพื่อนมาก คุยสนุกเข้าได้ทุกวงสังคม...นังลุ่มเป็นข้าราชการทำให้วิถีชีวิตเดินไปแบบไม่ได้ระวังตัว...ใครชวนทำอะไร...ไม่ได้คิดมาก...ขอแต่ให้เป็นความสบายใจของเพื่อนเป็นพอ...จนเมียน้อยใจว่าเรารักเพื่อนมากกว่าเธอ...เราเป็นตัวแทนครูในหลายเรื่องที่เพื่อนๆ...เขาไม่ค่อยใส่ใจกัน...เพราะส่วนใหญ่ต่างคนต่างมีภาระแบกหามครอบครัวใครมัน...อันไหนที่เกินกว่าหน้าที่นอกเหนือจากงานการสอนเพื่อนๆมักไม่ทำ...เรารับหมดอบรมสัมมนา...ต่อสู้ให้ได้มาในเรื่องสวัสดิการสถานะทางสังคมของครู....เรามักได้เป็นตัวแทนอยู่เป็นประจำ(ก็คนอื่นเขาไม่ว่างที่จะทำนี่)...จนได้รับความไว้วางใจจากเพื่อนครูให้เป็นกรรมการกลุ่มโรงเรียน(เลือกตั้ง)วิชาการกลุ่มโรงเรียนและของอำเภอเป็นตัวแทนครูในระดับอำเภอ(เลือกตั้ง)ของกลุ่มครูผู้สอนในคณะกรรมการการประถมศึกษาอำเภอ(กปอ.)(ไก่ไปอำเภอ) เป็นตัวแทนคุรุสภาอำเภอ ข่าวสารวงนอกวงใน กินดองแต่งงาน...พ่อตาตาย...แม่ยายเสีย...ในวงเพื่อนครูทั้งอำเภอเมืองเรารู้และได้ไปร่วมงานเกือบทุกงาน การได้พบคนหมู่มาก การได้เห็นสังคมดำรงอยู่จากโรงเรียนหนึ่งสู่สังคมครอบครัวหนึ่ง...มันเป็นหลักสูตรการศึกษานอกโรงเรียนชั้นดี...เป็นการสร้างสมอุดมการณ์...เกิดแนวคิดและสติปัญญา ที่แหวกออกจากความเป็นครูธรรมดา...สู่ความโลดแล่นของสังคมการเมือง....
000000ปี 2533 เป็นอีกห้วงหนึ่งที่การเมืองกับการพัฒนาบ้านเมืองไปสู่ทิศทางที่ดี...ได้นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือตั้ง...พลเอกชาติชาย ชุณหวัน เป็นยุคที่กล้าประกาศและเปลี่ยนยุทธศาสตร์ประเทศไทยสู่ความเป็นสากล กำหนดนโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า จากการขัดแย้งทางความคิดของประเทศอินโดจีนที่แก่งแย่งชิงดีกันบ้านพี่เมืองน้องระแวดระวังกัน...หันกลับมาจับมือกันอย่าศึกและเป็นคู่ค้าต่อกัน...หลายประเทศทั้งยุโรป อเมริกา...มองไทยเป็นแดนสวรรค์ขนเงินกันมาลงทุน...ดินลูกรังกลายเป็นทองคำ...เพื่อนครูเราหลายคนกลายเป็นเศรษฐีที่ดิน...ขายมูลมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษออกรถใหม่มีบ้านหลังโตกันเป็นแถว...แต่หลายคนที่มองการไกล...กู้เงินนอกระบบในระบบมาลงทุนกว้านซื้อที่ดินกันหวังรวยกันใหญ่...ดินบางแปลงเดือนหนึ่งเปลี่ยนมือสามสี่เจ้าก็มี...ตามกระแสที่มีคนมาปั่นราคาที่ดิน...จากยาจกกลายเป็นเศรษฐีในพริบตา
000000แต่อนิจจา 23 กุมภาพันธ์ 2534...รัฐบาลพลเอกชาติชายกำลังสนุกกับการนำประเทศเข้าเป็นคู่ค้ากับต่างชาติ บ้านเมืองกำลังเดินไปข้างหน้าตามวิถีทางประชาธิปไตย...ชายเสื้อคับผู้มีนามว่าพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ และคณะได้ปล้นกลางแดดรัฐบาลพลเรือนของประชาชนที่ประชาชนช่วยกันเลือกทั้งประเทศ แต่คณะบุคคลไม่กี่คนเอารถถัง ปืนและคนในชุดทหารไม่กี่คนแย่งเอาประชาธิปไตยไปจากพี่น้องประชาชน...แล้วตั้งรัฐบาลเผด็จการทหารขึ้นมาปกครองประเทศแทน....
นนนนนนนนฝันสลายของประชาชนผู้รักประชาธิปไตย...ที่ต้องการเห็นบ้านเมืองเดินไปข้างหน้าตามวิถีทางประชาธิปไตย...เหตุผลในการยึดอำนาจก็ข้อเดิม....แตกแยก...รัฐบาลโกงกิน...หมิ่นพระราชา...ขาดศรัทธาจากประชาชน...ก็ประชาชนเขาเลือกของเขามา...ดีไม่ดีถูกใจชาวบ้านหรือไม่เขารู้ดี...เก่ง ดี เลือกตั้งใหม่เข้ามาบริหาร...ถ้าทำงานไม่เข้าตา...อย่าหวังว่าจะได้เข้ามาง่ายๆ...เศรษฐกิจกำลังเดินไปข้างหน้า...ดินกำลังเป็นราคา ชาวนาได้ขายข้าว หนุ่มสาวมีงานทำ...แต่...เป็นเพียงนามธรรมที่สัมผัสไม่ได้...รัฐบาลกำลังผลักดันนโยบายที่แถลงไว้ต่อสภาให้ก้าวไปข้างหน้า...ดินที่เพื่อนครูซื้อไว้...เศรษฐีใหม่ที่ต้องการลงทุนทั้งธุรกิจขนาดใหญ่ ขนาดย่อม...สวรรค์ล่ม...ตายทั้งเป็น...ถูกเผาโดยยังไม่สิ้นลมหายใจ...ครูอารมณ์...ผู้ที่ต่อสู้ให้ได้มาซึ่งเงินค่าครองชีพสองร้อย...สวัสดิการประกอบการดำรงชีพของข้าราชการ...ที่ควรได้...หวังลึกๆจะได้ปรับอัตราเงินเดือนใหม่...ความเป็นอยู่ของข้าราชการไทยควรได้ตามอัตภาพในสังคมปัจจุบันทึ่ค่าครองชีพเดินทางล่วงหน้าไปถึงไหนแล้ว...รัฐบาลเผด็จการทหาร...ถูกสาบแช่งก่นด่าจากซีกฝ่ายที่พลาดหวัง...ผิดหวัง...นักประชาธิปไตยเริ่มเคลื่อนไหวเปลี่ยนฝ่ายเปลี่ยนขั้ว...เตรียมการกระโจนลงสู่สนามเลือกตั้งอีกครั้งเมื่อทหารคืนอำนาจให้...หลังจากตบทรัพย์จากประเทศอิ่มหมีพีมันจัดกระบวนการทัพในการสืบทอดอำนาจเรียบร้อยแล้วก็คลายอำนาจนั้นให้ประชาชนอีกครั้งหนึ่ง...
นนนนนนนการเลือกตั้งปี 35/2...เพื่อนครูนักสู้ทั้งหลายคึกคัก...หลายคนพัฒนาไปไกลถึงขั้นไปสมัครเป็นสมาชิกพรรค...เตรียมการลงเลือกตั้งส.ส.ส่วนตัวคุยว่า...เป็นนักต่อสู้มีความกว้างขวาง...มีลูกศิษย์ลูกหามาก...เป็นนักพูดนักไฮค์ป้าคหรืออะไรก็แล้วแต่ที่มีคนสรรเสริญเยินยอ...ฝ่ายพรรคการเมืองมองว่าถ้าได้ครูมาเป็นผู้สมัครของพรรคมีโอกาสสูงเพราะครูคือผู้ปัญญาที่ชาวบ้านความเคารพศรัทธา เลื่อมใส...แต่มันก็เป็นเพียงบางคนที่มีจิตวิญญาณของนักการเมือง...บางคนเป็นหนี้สินมากอยากปลดเปื้อง...ลาออกไปสมัครเพื่อ....เอาเงินบำเหน็จมาใช้หนี้...เอาเงินพรรค...ที่เหลือจากค่าใช้จ่าย...แต่บางคนต้องการจะเป็นผู้แทนจริงๆ...เพื่อนเราพี่เราน้องเราชาวครู...ต่างมีเหตุผลทุกข้อที่อ้างมา...และลงสมัครผู้แทนหลายคนเช่นเดียวกันในการเลือกตั้งปี35/2
00000ครูแก้วศุภชัย โพธิ์สุ คนตำบลสามผงเป็นเพื่อนกับเรามาแต่เด็กเป็นครูบ้านแคด้วยกัน...ลูกๆทุกคนโตมาด้วยกันกับลูกเราอันเปรียบเหมือนครอบครัวเดียวกัน...เป็นนักต่อสู้กับเผด็จการหนีเข้าป่าช่วงเป็นนักศึกษา...เราหนีเข้ากรุงเทพ...ครูไก่ย้ายมาอำเภอเมือง...ครูแก้วไปเป็นครูใหญ่ที่ท่าหนามแก้วอำเภอท่าอุเทน...และทำกิจกรรมทางการเมืองประสานกันมาไม่ได้ขาด...แต่ครูแก้วเอาประสบการณ์จากป่าที่การต่อสู้อันมีระบบชัดเจน...มีความอดทนสูงทางการเมืองสูง...มีเพื่อนนักศึกษาที่ออกจากป่ามาร่วมอุดมการณ์...และทำการเมืองภาคประชาชนอย่างต่อเนื่อง...ทั้งทางลึกทางลับและเปิดเผยอยู่ตลอดเวลา...
00000พรรคพลังธรรม พรรคใหม่...มีมหาห้าขันพลตรีจำลอง ศรีเมือง เป็นหัวหน้าพรรค และเป็นพรรคที่เข้าชาวรากหญ้าได้ดีพรรคคนจน ทำเพื่อคนจนนโยบายประหยัดกินผักกินหญ้า...ถึงแม้จะขัดกับอุดมการณ์นักศึกษาที่ออกไปต่อสู้ในป่ามา...ผู้นำนักศึกษาที่ต่อต้านการรัฐประหาร...เผด็จการทุกรูปแบบและยืนอยู่คนละฟากฝั่งของทหาร...ครูแก้ว ศุภชัย โพธิ์สุ...มาชวนเราถึงบ้านออดอ้อน ชักชวน หว่านล้อม...เหมือนกับว่าสมัครแล้วต้องได้เป็นผู้แทนแน่นอน...
จจจจจจจฮึ.ฮึ..ฮึ...ครูไก่...อารมณ์...ตำแหน่งครูผู้สอนอาจารย์ 2 ระดับ 7...โรงเรียนบ้านหนองบัวนาทราย(ชื่อเดิม)หนี้สหกรณ์...กู้ตั้งแต่แต่งเมียจนมีลูกสองยังใช้ไม่หมด...มีมอเตอร์ไซด์ฮ้างอยู่ 1 คันคู่กาย(วันไหนฝนตกหนักไม่ต้องไปโรงเรียน)ทั้งครอบครัวได้อาศัยเพื่อการดำรงชีพ...เติมน้ำมันไม่เกินวันละลิตรมีเงินติดตัวไปทำงานเกิน 200 บาทวันนั้นโก้ที่สุดในชีวิต...หนี้นอกระบบชักหน้าไม่ถึงหลัง...ถนนเดินได้เป็นบางสาย...หลบเจ้าหนี้เห็นเจ้าของเงินเหมือนเห็นสิ่งน่าสะพึงกลัว...บังอาจมากถ้านายตัดสินใจสมัครผู้แทน...

วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2551

แหล่งกำเนิดมีอิทธิพลที่ส่งผลต่อทางเดินของชีวิตฅน...






0000 เส้นทางชีวิตเต็มไปด้วยซอกมุม...และทางโค้ง...ที่อันตรายและงดงามบรรจุไปด้วยรอยยิ้ม...และหยาดน้ำตา ซึ่งต้องอาศัยพลังใจ และความมุ่งมั่นจึงจะประสบความปลอดภัยในการเดินทาง...สอนหนังสือที่โรงเรียนบ้านหนองบัวนาทรายตั้งแต่ปี 27 เรื่อยมาครูใหญ่ที่เปรียบเสมือนพ่อคือพ่อสวัสดิ์ ศรีสว่าง อยู่ร่วมงานกับท่านจนท่านเกษียณ...อายุราชการ เปลี่ยนสถานะผู้บริหารจากครูใหญ่ อาจารย์ใหญ่ และผู้อำนวยการโรงเรียน หลายคน...ถ้าถามว่าชีวิตราชการของความเป็นครูตื่นเต้นไหม...เปล่าเลยถ้าอยูเฉยๆเรียบๆ...แต่โดยนิสัยและบุคคลิกเราไม่ใช่คนอยู่นิ่ง...ชอบเพื่อน...ชอบคุย...ชอบสังคม...ดื่ม กิน ดิ้น...เป็นซอกมุมอันท้าทายชีวิต...ส่วนการแสวงอำนาจ...ในสมองไม่เคยคิด เพราะรู้ตัวดีว่าเส้นทางนั้นไม่ใช่เรา...
0000เสาร์-อาทิตย์ ยังทำมาหากิน...ยิงนกตกปลา แบกปืนเข้าป่า ทั้งๆที่มาอยู่ในเมือง...วิถีชีวิตเป็นแหล่งบังคับและมีอิทธิพลต่อมนุษย์...เราเห็นภาพพ่อแบกปืนเข้าป่าทุกภาพตอนกลางวัน...ล่าสัตว์ปกติ...กลางคืนพร้อมไฟส่องสัตว์...ก่อนสว่างไปดักยิงไก่ป่าลงคอน...แบกแหลงลงน้ำไปกันเป็นกลุ่มไปคนเดียว...ไปทางเรือเดินเท้า..มันเป็นภาพที่ยังฝังอยู่ในสำนึกทุกเสี้ยวของความนึกคิด...พ่อก็เป็นครูยังทำมาหากิน...เพราะความชอบ...สภาพแวดล้อม...วิถีที่เคยเห็น...อาชีพที่ผูกพันธ์กับชีวิตจริง...ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น...เป็นเองรักเองชอบเอง...และพัฒนาเป็นอาชีพเพื่อเอาตัวรอด...อำเภอเมืองต่างกับศรีเวินชัย...ไม่มีใครหยิบยื่นอาหารให้นอกจากตลาดสดที่อาศัยเงินสดล้วน ๆอยู่บ้านเกิดใครได้อะไรมาต้องเรียกกันไปกิน...แบ่งปันกันพ่อได้ไก่มาแบ่งเพื่อนบ้าน...ได้ปลาตัวใหญ่กินกันทั้งตระกูล...อำเภอเมืองจะจับปลาทอดแหมีวัฒนธรรมต่างจากที่บ้าน...ผ่าปลาไม่ต้องเสียเงิน แต่ที่นี่ต้องเสียเงิน เสาร์ - อาทิตย์ เราไปผ่าปลาลงแห อันเป็นวิถีที่เคยทำมา

0000จากครอบครัวพ่อแม่ลูกเรามีน้องๆ มาอาศัยเรียนหนังสือด้วย ของเราสองคนฝ่ายเมียอีกคนค่าเทอมค่าใช้ประจำเดือนทางบ้านพอถูไถไปได้ แต่ค่าใช้จ่ายภายในบ้านเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณลูกทั้งสองต้องเข้าโรงเรียน เสื้อผ้าค่าเทอมจิปาถะด้วยภาวะปากกัดตีนทีบ ข้าราชการไทยที่วิ่งตามกระแสโลกโน่นก็อยากได้นี่ก็อยากมีวิ่งตามไม่หยุดหย่อน เครื่องอำนวยความสะดวกที่ทุกคนใฝ่ฝันมันมีตามมากับซีที่เพิ่มตามบ่า กู้ทุกอย่างที่ขวางหน้าขอแต่ได้ข่าวว่าใครมีเงิน สหกรณ์ออมทรัพย์ตั้งแต่กู้เงินแต่งเมียไม่เคยลดต้นและดอกเลยมีแต่เพิ่มวงเงินสูงขึ้นตามเงินเดือน เงินกู้สามัญบวกฉุกเฉินเงินเดือนแทบติดลบ สินค้าผ่อนส่ง(เงินเซ็น)มีทุกบริษัทที่มาขายตรงที่โรงเรียน เพื่อนครูก็เช่นเดียวกันไม่มีใครเกินใคร เรื่องตกแต่งบัญชีเงินเดือนเพื่อให้เงินเดือนเหลือเอาไปหลอกเจ้าของเงินกู้และธนาคารต่างๆเราเป็นคนจัดการเพราะเราเป็นเจ้าหน้าที่การเงินโรงเรียน เอกสารปลอมอีกต่างหากอยากได้ลายเซ็นต์ให้บอกมาปลอมได้หมด จนบางครั้งเซลมาเก็บเงินค่าของเอาเพื่อครูไปซ่อนไว้ในห้องน้ำก็มี...

0000เรายังพอชักหน้าถึงหลังบ้างเพราะทำงานทั้งคู่(มันเข้าตำราพ่อแก่แม่เฒ่าสอนไว้ให้เอาเมียคนทำงาน) เดือนนี้เรากู้ได้เดือนเหน้าคิวเราบ้างของนี้เราเชื่อมา นั่นของเธอเลยมีจนเต็มบ้านบางอย่างหาประโยชน์แทบไม่ได้แต่เพื่อนๆรอบข้างบอกว่าทันสมัยเข้าวงเพื่อนฝูงพอคุยได้ เล่น...กิน...ดื่ม...ผ่านเข้ามาในชีวิต เป็นอีกตำราบทหนึ่งที่คำพระสอนไว้ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นอบายมุขทั้งสิ้นทำไงได้ นี่ก็เป็นสิ่งจรรโลงสถานะให้มีความแข็งแกร่งในการต่อสู้ชีวิตอีกวิถีหนึ่ง...

จจจจจจขวากหนาม ...ที่ขวางทางเดินของชีวิตทำให้มนุษย์มีการดิ้นรน...ต่อสู้และอดทน...แต่ครอบครัวเป็นปัจจัยหลักในการครองตนครองคน...ให้ก้าวหน้ามาได้ถึงวันนี้...เพราะเธอนั่งลุ่ม และลูกๆ ล้วนแล้วแต่เป็นกำลังใจอันสำคัญเหมือนบทเพลงของไมค์ ภิรมย์พร
"ลำบากยากเข็ญ....เช้าเย็นขอได้เห็นหน้า....หากมีปัญหา น้องอย่าตัดสายสัมพันธ์...อยู่เป็นแรงใจ...เติมไฟให้กันและกัน...เพียงเรามีเราเท่านั้น...สร้างฝันให้สมดั่งไฝ่"
00000เรานับว่าโชคดีที่ได้แม่บ้านเป็นแม่ศรีเรือน...เป็นนังแจ๋ว...ของบ้าน....เป็นผู้ให้กำลังใจที่ยืนเคียงข้างมา...จากพื้นฐานที่คบหากันมาก่อนแต่งร่วมสิบปี...สถานะภาพทางสังคม...ญาติมิตรชิดใกล้...ดูแลกันล้มลุกคลุกคลานกันมา งอนกันบ้างกระทบกันบ้างเหมือนครกกับสาก...ของชีวิตคู่...

วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2551

งานคือตัวกำหนดชีวิตมนุษย์...ให้ก้าวย่างไปตามเส้นทาง


0000เรียน มสธ. 2ปี ก็จบหลักสูตรหลังอบรมเข้ม ณ โรงแรมแก่นอินทร์ อำเภอเมืองขอนแก่น ระหว่างวันที่ 19 - 23 พฤศจิกายน 2529 อันเป็นกระบวนการศึกษาครบหลักสูตรปริญญาตรีศึกษาศาสตร์ บริหารการศึกษา รุ่นที่ 5 ของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช...และในเดือนธันวาคม 2530 ก็เข้ารับปริญญาตรีที่สวนอัมพร กรุงเทพฯ
0000เราได้ถือโอกาสพาลูกเมีย...ไปเที่ยวกรุงเทพ...นั่งลุ่ม พี่กอล์ฟ...มีสถานะพอ ๆกันคือตั้งแต่เกิดไม่เคยไปกรุงเทพเลย...งานนี้เราเป็นพระเอกเพราะถือว่าเคยอยู่กรุงเทพ...เราเป็นไกด์พาลูกเมียเที่ยวสถานที่นิยมของกรุงเทพ...วัดพระแก้ว...สวนสัตว์...สวนจตุจักร...มันคือสุดยอดความฝันของคนบ้านนอก...และงานนี้ปริญญาที่ได้มาถือว่าเป็นความสำเร็จของครอบครัว...นั่งลุ่มเป็นกำลังใจเวลาดูหนังสือ...พี่กอล์ฟคลอเคลียพ่อเวลาพ่อเหนื่อยจากการงาน...ปริญญาใบนี้เป็นปริญญาครอบครัว...
0000น้องเกมส์ตั้งแต่ปี 31หลังคลอด... เป็นต้นมาก็ไม่เคยไปกรุงเทพเลยเช่นกัน...ถ้าเราไม่ได้เรียนต่อปริญญาโทรัฐศาสตร์ รามคำแหง วิทยาเขตนาแก...อันเป็นมหาวิทยาลัยเปิด...ที่เราไม่สามารถจบปริญญาตรีได้...แต่สวรรค์ก็นำปริญญาโทรัฐศาสตร์..มาส่งให้ถึงบ้าน...เป็นปริญญาของครอบครัวเช่นเดียวกัน...เพราะทั้งบ้านเราเรียนอุดมศึกษาคนเดียว...นั่งลุ่มเรียนแม่บ้านศาสตร์...เป็นคนมีพรสวรรค์...เป็นนั่งแจ๋วของบ้าน...เราทำตัวเป็นลูกชายคนโต...รับส่งพี่กอล์ฟ...น้องเกมส์ ไปโรงเรียน...มีบางวันติดลมปล่อยลูกรออยู่กับคุณครู...ลูกเราทุกคนผ่านหลายโรงเรียน...พี่กอล์ฟ จบโรงเรียนกินนอนจาก ตชด.(ตำรวจตระเวนชายแดน)ก่อนจะไปเรียนต่อโรงเรียนกินนอนของคนจีน(โรงเรียนนานาชาติ)...คือโรงเรียนตงเจี่ย...ก่อนเข้าโรงเรียนประจำจังหวัด...ในชั้นอนุบาล 1 คือโรงเรียนอนุบาลนครพนม...จนจบ ป.6...น้องเกมส์...เรียนลัด...จบโรงเรียนกินนอนจาก ตชด.เข้าอนุบาลที่เดียวกับพี่กอล์ฟจนจบ ป.6...แต่พี่กอล์ฟดวงไม่ดีเท่าน้องเกมส์...เพราะเข้าเรียนต่อ ม.1โดยผ่านการจับสลาก...พี่กอล์ฟสอบได้ที่เก้าของรุ่น...ลูกเป็นศิษย์เก่าปิยะมหาราชาลัยเหมือนพ่อแม่ทั้งสองคน...

วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2551

ย้ายถิ่น...บินไปสร้างรังใหม่...




0000หลังแต่งงานปี 27 ...นังลุ่ม...ขอย้ายจากหนองคายมานครพนม...เราก็โชคดี...มีครูเขยบ้านแคเป็นคนปักษ์ใต้ชื่อครูมนูญ...อยากย้ายไปบ้านเมียติดต่อเราเพื่อย้ายสับเปลี่ยน...เราตกลงทันที่...การย้ายสับเปลี่ยนง่ายกว่าการย้ายทั่วไป...วันที่ 1 พฤษภาคม 2527 เราย้ายมาโรงเรียนบ้านหนองบัวนาทราย สปอ.เมืองนครพนม สปจ.นครพนม ในตำแหน่งครู 2 ระดับ 2 แต่นั่งลุ่มยังไม่ได้ย้าย เพราะตำแหน่งไม่ว่าง...จนเดือนตุลาคม 2527 มีเจ้าหน้าที่สรรพากรอำเภอท่าอุเทน...ตาย...ตำแหน่งว่าง...ย้ายมาแทนในตำแหน่งเจ้าหน้าที่สรรพากร 1 อำเภอท่าอุเทน...จากโอกาสที่ไม่ได้ร่วมบ้านกันมาหลายเดือน...ก็มีโอกาสสร้างรังรักแห่งใหม่ที่บ้านเลขที่ 133/3 ถนนทัศนปทุม ต.ในเมือง อ.เมืองนครพนม...และเธอ นังลุ่ม...ประจำเดือนไม่มาเลยตั้งแต่เดือนแรกของวันแต่งงาน...

000วันที่ 16 ตุลาคม 2527...พี่กอล์ฟ (เด็กหญิงจิตรวรา เวียงด้าน)ก็มุดออกจากครรภ์แม่ออกมาดูโลก เวลาค่อนสว่าง...นำความตื่นเต้นมาให้เรา...ได้ภาคภูมิในตัวเองอีกครั้งหนึ่ง...ว่าเราเป็นพ่อคนแล้วโว้ย...และพี่กอล์ฟก็เป็นที่ชื่นชมของพี่น้องทั้งสองตระกูล...

0000ชีวิตครอบครัวไม่ใช่ชีวิตที่พร้อมไปทุกด้าน...มันเป็นความยุ่งยากและท้าท้าย...แต่โดยพื้นฐานที่เราและนั่งลุ่มรักกันมากว่าทศวรรษ...เราผ่าน...น้อยใจ...เสียใจ...โกรธกัน...ดีกัน...รักกัน...คิดถึง...เมินเฉย...ถวิลหา...และรอคอย...สมหวังผิดหวัง...เข้ามาผ่านชีวิตเราทั้งสอง...ช่วงพ่อเราตาย...นั่งลุ่มก็คอยให้กำลังใจ...ให้สู้...ให้ยืนแล้วมองไปข้างหน้า...ถ้าถามว่านั่งลุ่มมีข้อตำหนิไหม?...ข้อบกพร่องละ...จุดแข็ง...จุดอ่อน...ก็เธอเหมือนมนุษย์...นี่แหละ...ไม่ใช่นางฟ้าหรือเทวดา...เราก็มีดี...เลว...เช่นเดียวกัน...แต่เราอยู่กันด้วยความรัก...ความเข้าใจ...ให้ความอบอุ่น...ให้เกียรติ...ร่วมคิดร่วมสร้าง...อภัยต่อกันเมื่อทำผิด...ตำหนิให้กำลังกันเพื่อฟันฝ่า...ปัญหาที่มี...ราบรื่นไหม?ต่อคำถามที่ถาม...ไม่หรอก...สุข...ทกข์...เป็นของคู่โลก...ไม่มีครอบครัวใดหรอกที่ไม่มีปัญหา...อย่าหลอกตัวเอง...แต่ปัญหามีไว้แก้ไม่ได้มีไว้กลุ้ม...ทุกปัญหามีทางออก...และทุกทางออกก็ย่อมมีปัญหาเช่นเดียวกัน...

0000วันที่ 14 กันยายน 2531 ...น้องเกมส์...(เด็กหญิงจิตตรารมณ์ เวียงด้าน)ก็แหวกท้องแม่ออกมาอีกคน...จากภาระที่ยุ่งยาก...ก็เพิ่มกำลังใจให้พ่อแม่และวงศาคณาญาติอีกครั้ง...ครอบครัวใหม่ก็ล้มลุกคลุคลานไปตามสภาพ...วิถีชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบและ...ไม่ได้ปิดกั้นด้วยหนามไผ่เช่นเดียวกัน...จากครอบครัวเล็กๆทั้งน้องเรา...น้องเมีย...หลานเรา...หลานเมีย...ก็มาอาศัยด้วยเพื่อเรียนหนังสือ...นั่งลุ่มก็ย้ายมาอยู่สรรพากรอำเภอเมืองนครพนม...ก่อนคลอดน้องเกมส์ไม่กี่เดือน...

วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2551

อยากมีเมีย...(หวังสร้างอนาคต)เขาว่าอย่างนั้นจริงๆ....
















0000ตั้งแต่เป็นครูลงไปสอบรามคำแหงครั้งเดียว...เงินเดือนพันกว่าบาท...เรียนรามปีสี่...ระหัสวิชาสูงขึ้น...การสอบแต่ละวิชาห่างกันจะเทียวลงไปสอบ...มีข้อจำกัด...เงินเดือนจ่ายค่ารถได้ครั้งเดียว...ลาติดต่อกันก็สงสารเด็ก...เห็นทีวิชารัฐศาสตร์จะเป็นเส้นขนานกับอาชีพครู
0000ลุงเรา(ครูดรุณ อาจารย์ใหญ่โรงเรียนบ้านศรีเวินชัย)อาจารย์ใหญ่คนแรกของตำบลสามผง...ที่มาจากการสอบเป็นอาจารย์ใหญ่...แนะนำว่ามาทางครูน่าจะไปทางครู...ปริญญาทางครูน่าจะเหมาะสมกับวิชาชีพ...และให้สมัครสอบ พม.(พิเศษครูมัธยม)แต่ครูรุ่นพี่แย้งว่าสอบพม.มันยากเพราะคนที่บรรจุก่อนเรายังไม่มีใครสอบได้เลย...เอ้อ...มันก็ท้าทายดี...เราสมัครสอบพม.สองปีได้ 3 ชุดวิชาครู...วิชาภาษาไทย...วิชาสังคม...อบรมภาคฤดูร้อนวิชาพละเดือนเมษายนปีต่อมาที่วิทยาลัยพละศึกษามหาสารคาม...ครบ 4 ชุดได้วิทยฐานะครูเพิ่มเงินเดือนเพิ่มเป็น 7 ขั้นแถมหนีบเอาเพื่อนเอาพี่ๆน้องๆในกลุ่มสามผงไปสอบได้กันทั่วหน้า...ก็ไม่เห็นจะยากนะ...
0000วันที่ 5 สิงหาคม 26 ปรับวุฒิ พม.จากครู 1 ระดับ 1ขั้น 1,865 เป็นครู 2 ระดับ 2 ขั้น 2,625 โรงเรียนบ้านแค...1 ตุลาคม ปรับเงินเดือนอีกหนึ่งขั้น...จากครู ป.กศ.แอ้ มีวุฒิอนุปริญญาต่อท้าย...ในห้วงนั้นมี มสธ.มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช อันเป็นมหาวิทยาลัยเปิดแห่งที่ 2 เกิดขึ้นส่งสัยว่าวาสนารัฐศาสตร์รามคำแหงต้องหันหลังให้กัน...เพราะ มสธ.เปิดโดกาสให้กับทุกคน...ทุกสาขาอาชีพ...ที่มีวุฒิม.6ขึ้นไปสามารถเรียนเพิ่มเติมได้หรืออยากมีความรู้ต่างสาขาก็ได้...โดยเพียงแต่ลงทะเบียนเรียนทางไปรษณีย์...แล้วไปรษณีย์ก็จะนำหนังสือส่งให้ถึงบ้าน...อ่านอ่านและก็อ่านถึงเวลาไปสอบ...ผ่านเร็วจบเร็ว...ไม่ผ่านก็สอบซ่อม...แก้ตัวจนกว่าจะผ่าน...
0000 คณะศึกษาศาสตร์สาขาบริหารการศึกษา...คือวิชาที่เราจะต้องต่อยอดอีกสองปีก็จะได้ปริญญาตรี...เราไปสมัครเรียนลงทุนแค่ครั้งหนึ่งไม่เกินสองพันบาท...ดีกว่าเทียวลงกรุงเทพไปสอบราม...
0000ตั้งแต่เริ่มต้นตีแผ่เรื่องของเราให้ท่านทราบ...เรายังไม่เคยเล่าเรื่องผู้หญิงให้ฟ้งเลยนั่นแสดงว่าเราเป็นคนที่หญิงไม่ยุ่งมุ่งแต่งาน...ที่ไม่ได้กล่าวถึงเพราะเธอไม่ใช่หญิงสาธารณะที่จะนำมากล่าวให้ใครฟัง
0000จบม.ศ.3 จากปิยะปี 17 รอไปเรียนต่อภาคค่ำที่วิทยาลัยครูสกลนคร คืนนั้นเราไปดูหนังกลางแปลงที่บ้านสามผง...ไปเจอเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง(มีแววเป็นสาวแล้วนะ)ตัวเขียวยังกะแมงทับ...แต่รอยยิ้มเธอทำให้โลกทั้งโลกสว่างไสวคลายความม่นหมอง...นับจากวันนั้นจนถึงปี27 รวมเวลา 10 ปีเราขอเธอกินดอง...เธอก็พยักหน้า...เพราะเธอก็มีเราคนเดียว...วันที่เราไปขอประมาณเดือนธันวาคม...ป้าเรา(ครูอำนวย)ได้ถอนแหวนในมือท่านหมั้นไว้ก่อน...โดยที่เราไม่มีเงินสักบาทเดียว...แล้วนัดแต่งในเดือนหน้าเรากู้เงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์ครูเป็นค่าดอง...ในวันศุกร์ที่ 13 มกราคม 27 คืองานสุขสันติ์วันกินดองของเรากับเจ้าหน้าที่สรรพากร 1 สำนักงานสรรพากรจังหวัดหนองคาย...ตั้งแต่นั่นมาเราก็ได้เมียผ่อนส่ง...เพราะจากวันนั้นถึงวันนี้...เรายังจ่ายหนี้สหกรณืไม่หมด...เพราะยืมแล้วยืมอีก...จนลาออกจากครูก็ยังไม่หมด...เรายังสอนอยู่บ้านแค...เธอ...นังลุ่ม...อยู่หนองคาย...ไม่มีโอกาสข้าวใหม่ปลามัน...แต่ค่าดองหนึ่งหมื่นบาทกับทองหนึ่งบาท...นับมาถึงวันี้ก็คุ้มแล้วล่ะ...

วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2551

เหลียวหน้า...แลหลัง...สู่อนาคตของพ่อพิมพ์...




0000ครูหนุ่มแห่งลุ่มน้ำสงคราม...ทำหน้าที่เป็นพ่อพิมพ์ของชาติที่บ้านแค หมู่ 2 ตำบลสามผง เราอยู่ศรีเวินชัยหมู่ 6 ตำบลเดียวกัน อันเป็นสุดยอดของชีวิตอีกห้วงหนึ่ง...ที่ได้สอนโรงเรียนใกล้บ้าน ...คนบ้านแคกับคนบ้านเรารู้จักกันโดยพื้นฐาน...เป็นญาติกันเพื่อนกัน...ทั้งครูแก้ว ครูกล้า ครูเส็ง ก็เป็นคนบ้านแคจึงเปรียบเหมือนคนครอบครัวเดียวกันโดยมีพี่พล(อ.สุรพล เหมื้อนงูเหลือม)เป็นครูใหญ่หนุ่มโสดอายุเกิน 40 เป็นคนบ้านศรีเวินชัยเป็นญาติกัน ปัจจุบันเป็นผอ.โรงเรียนบ้านศรีเวินชัย ครูเปด(อ.นิพนธ์ ติยะบุตร)ปัจจุบันเป็นผอ.โรงเรียนชุมชนสามผง เป็นเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวเทียวโรงเรียนด้วยกัน จึงทำให้ไม่เหงาทั้งงานโรงเรียนและงานชุมชน...
0000เสาร์-อาทิตย์-ตอนปิดเทอม เข้าป่าล่าสัตว์ ยิงนกตกปลา ยิงหมูป่าดงคำ ยิงบ่างยิงอีเห็น...นัดหมายกันทำมาหากิน... งานบุญ งานบวช งานแต่ง งานตาย ครูหนุ่มและทีมงานไม่เคยขาดงานไม่เลิกไม่กลับอันถือว่าช่วยงานเต็มที่เข้าตำรา "เหล้าบ่เหมิด ผู้นี้บ่หนี" บ้านแค เป็นหมู่บ้านอัศจรรย์ปีหนึ่งเป็นเกาะอยู่6เดือนทั้งตำบลสามผง มี2หมู่บ้านที่เป็นเกาะ คือปากยาม กับบ้านแค เพราะถ้าแลหลังกลับตั้งแต่เกิด การคมนาคมต้องทางเรืออย่างเดียว ต่อมาก่อนที่เราจะมาเป็นครูสักสองปี... มีถนนรพช.ตัดผ่านเรียกว่าถนนสายหาดแพง-หมูม่น...โดยเริ่มจากบ้านหาดแพง...บ้านคำไฮ...ผ่านดงคำ...และ(ที่ดงคำมีบ้านเกิดใหม่2หมู่บ้านคือบ้านไทยสบาย บ้านไทยเจริญ ผู้คนอพยพมาจากบ้านแค มาตั้งบ้านใหม่ริมถนนรพช.)บ้านดงน้อย... บ้านนาหนองหวาย...บ้านสามผง...บ้านศรีเวินชัย...ไปอำเภอบ้านแพงผ่านบ้านดอนเตย...และสิ้นสุดที่บ้านหมูม่น(ปัจจุบันคืออำเภอนาทม)บ้านเราเจริญขึ้นมีถนนตัดผ่าน รถราเพิ่มมากขึ้น...ตั้งแต่มีถนนเส้นนี่มายังลาดยางไม่สุดลาดเฉพาะในหมู่บ้าน...หน้าฝนต้องช่วยกันเข็นรถไม่ช่วงใดก็ช่วงหนึ่งของถนน..ไม่น้ำท่วม...ก็ทางขาด...มีโคลนตมหน้าถนนไม่มีหิน...มีแต่ดินเหนียวล้วนๆ...
0000หน้าฝนเข้าพรรษาเราก็ต้องเข้าพรรษาที่บ้านแคประมาน 4 เดือน...ไม่ใช่ 3เดือนเหมือนพรรษาทั่วไปเพราะช่วง4เดือนน้ำยังไม่ลด...ถนนที่เชื่อมบ้านแคกับรพช.ยังไปมาหากันไม่ได้...เอ็นโดโร่สีเหลืองก็จอดเข้าพรรษาด้วยจะได้ใช้งานอีกทีก็หลังน้ำลด...เราอาศัยอยู่กับครอบครัวพี่พิมพี่วาส(นายพิมพา โสภา เป็นภารโรง)กับครูใหญ่ครูเปดปีต่อมาหลวงได้แจกครูสาวไปให้โรงเรียนบ้านแคหนึ่งคนชื่อนางสาวพูนสุข ใจสนุก แต่คนที่ได้เมียหลวงแจก...คือครูแก้ว เพราะทั้งคู่แต่งงานกันในปีต่อมา...เราและเพื่อนครูในกลุ่มสามผงพากันไปแต่งงานนายศุภชัย โพธิ์สุ กับนางสาวพูนสุข ใจสนุก ที่อำเภอนาแก
0000อยู่บ้านแค3ปีเพื่อนๆก็แต่งงานกันไปหมดแล้ว...จันทร์-ศุกร์...สอนหนังสือเป็นครูๆๆๆๆๆๆๆๆ...เสาร์อาทิตย์เป็นชาวบ้านๆๆๆๆๆจนปี 27 อยากมีเมียเหมือนคนทั่วไป...แล้วจะทำอย่างไร
0000

วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2551

ครูหนุ่มแห่งลุ่มน้ำสงคราม..(ครูบ้านนอก)

...15 พฤษภาคม 2524 คือวันแรกแห่งการเป็นครู...เมื่อคืนนี้ญาติพี่น้อง...ลุง ป้า น้า อา ผู้หลักปักบ้าน...พ่อใหญ่ แม่ใหญ่ ถูกแม่เชิญมากันเต็มบ้าน...เพื่อ...ทำการผูกข้อมือ...บายศรีสู่ขวัญ...อวยพร...สั่งสอน...แสดงความยินดี...พร้อมกับตลกบริโภค...สุดแท้พฤติกรรมใครจะแสดงออกอย่างไร...แต่ทุกคนที่มาวันนี้ล้วนแต่หน้าชื่นตาบานคนที่มีความสุขที่สุดคือแม่...แม่ใหญ่หวล...แม่ตู้(อุ้ย)เหรียญ (ยายเรา)ยิ้มไม่หุบ...ยายเราคุยจนน้ำหมากกระเด็นใส่วงสนทนา...หลานกูมันเก่งมันได้เป็นครูแล้ว...(แกไม่รู้หรอกว่าพญาแทนขีดเส้นมาให้เป็นอย่างนั้น)


...เราเป็นครูที่โรงเรียนบ้านแค...หมู่ 2 บ้านเราศรีเวินชัยมู่ 6 เป็นหมู่บ้านที่ไม่เคยได้รับเบี้ยกันดาร...เป็นหมู่บ้านที่เจริญกว่าทุกหมู่บ้าน...เพราะอยู่ติดลำน้ำสงคราม...การขนส่งเดินทางสะดวก...บ้านปากยามกับบ้านสามผง...ก็เจริญส่วนบ้านดงน้อย...นาหนองหวาย...ได้รับเบี้ยกันดาร...เจ้านายสรุปว่าไม่มีเส้นทางคมนาคม...มีไข้มาลาเลีย...กันดาร...ยากจน...(ก็มันเขียนเอา)...เราเพิ่งนึกได้ว่าตอนสอบทุนกันดารเมื่อคราวก่อนถึงมีเพียงสองตำแหน่งในตำบลสามผง...ทั้งๆที่มันก็เหมือนกันทุกหมู่บ้านนั่นแหละ...

...แม่ซื้อรถมอเตอร์ไซค์เอ็นโดโร่ (มือ 2 หรือ 3ไม่รู้)จากเพื่อนแม่ให้เรา...รถสตาร์ทไม่ติดต้องซ่อมก่อนถึงขี่ได้...เดือนที่ 1, 2,3, ผ่านไปยังไม่ได้รับเงินเดือน...ไม่รู้เพราะเหตุใด...ครูเก่าบอกเราว่าเป็นระเบียบ...ต้องตกเบิกหลังสามเดือนผ่านแล้ว...ระเบียบอะไรเราไม่รู้หรอก...เรารู้แต่ว่า...เราเดินเข้าร้านไหนภายในหมู่บ้าน...น้ำมันกี่ลิตร...เหล้ากี่ขวดเขาให้เราเซนต์หมด...มันช่างดีพิลึก...

...1,535 บาทต่อเดือนหลังสามเดือนได้รับเงินตกเบิก 4,605 บวกกับอีก 15 วัน เป็นเงิน 5,372 บาท...ได้รับเงินเดือนครั้งเดียว...เกินครึ่งหมื่น...ไม่ใช่น้อยสำหรับเรา...เรานำเงินไปจ่ายร้านที่เป็นหนี้ค่าเหล้า ค่าน้ำมัน สบู่ยาสีฟัน...ไม่พอหวะ...ขอติดหนี้ไว้เดือนต่อไป...ร้านค้าก็แสนใจดี...บอกเราว่าไม่มีปัญหาอยากได้อะไรขอให้บอกกลางวันกลางคืนเรียกได้ตลอด...แถมให้ใครมาเอาก็ได้
...กลับมาบ้านบอกแม่...ได้เงินเดือนแล้วแต่ไม่เหลือ...แม่บอกไม่เป็นไรหรอกลูก...ขอแต่ให้เจ้ามีเงินเดือน(ได้เป็นเจ้าแล้ว)ไม่ให้แม่ก็ไม่เป็นไร...เพราะไม่ได้ใช้อะไร...ขอแต่ช่วยน้องเวลามันขอบ้าง...แค่นี่แม่ก็มีความสุขแล้ว...
แม่บอกเราอย่างนั้นจริงๆ.................

ร่มโพธิ์หักหมู่นกแตกรัง...แต่เราไม่ใช่

....พ่อเป็นความดันโลหิตสูง...เส้นเลือดในสมองแตก...พ่อเป็นนักมวย...เป็นประดาน้ำดำนำเก่ง...เป็นนักดื่มตัวยง...เป็นพ่อที่หาเลี้ยงทุกคนในครอบครัว...พ่อไม่เคยซื้อกับข้าว...นอกจากข้าวเพราะพ่อไม่มีนา...พ่อเป็นทุกอย่างของครอบครัว...แต่จำเป็นอะไรที่พ่อจะต้องตายด้วย...มันคือความสับสนของชีวิตมนุษย์ตนหนึ่ง...ที่มีทั้งทุกข์ สุข โศรกเศร้าคละเคล้ากัน...ทำไมต้องเกิดกับครอบครัวเราด้วย...พ่อตายตอนอายุ 51 ครึ่งคนพอดีกำลังตั้งลำได้ เราเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย น้องสาวเราก็เช่นเดียวกัน คนต่อๆมากำลังเรียนพ่อบากบั่นอยากให้ลูกๆได้เรียนเพราะตัวเองไม่มีโอกาส...ความสูญเสีย...ความระทมทุกข์ทั้งหมดเราเขียนไว้ในหนังสืออนุสรณ์พ่อ...เราบวชกลางพรรษา...อุทิศส่วนกุศลให้พ่อ...เพราะเดือนตุลาคมยังไม่ออกพรรษา...รับกฐินเสร็จราวเดือนพฤศจิกายน...สึกออกมาเป็นทิด...ก่อนสึกญาติผู้ใหญ่...อาของยายคือขุนพนมอำนวยสุข ที่อยู่เมืองนครพนม...ถึงแก่อนิจกรรม...เราไปร่วมทำบุญจัดการงานศพกับตายาย...จูงไปพระราชทานเพลิงศพที่วัดศรีเทพ..เราไปนอนจำพรรษาที่วัดศรีเทพ 3 คืน...จนงานศพเสร็จ...เราไม่ได้ไปสอบที่รามหลังน้ำลด...กะว่าทำบุญ 100 วันให้พ่อเเล้วจะเข้ากรุงเทพอีกครั้งเพื่อไปเรียนต่อ...หลังทำบุญสิบวัน...ได้ทำบุญอีกรอบ...ตาด่อง อดีตศึกษาธิการอำเภอเมืองมุกดาหาร...ตายไปอีกคน...เราบวชอีกครั้งเพื่อจูงศพให้ตา...เลยไม่ได้เข้ากรุงเทพ
.....ปีนั้น...ทางการโดยสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดนครพนม ที่เปลี่ยนสภาพจากครูองค์การ มาเป็นครูสปจ. ประกาศปล่อยผีรับสมัครผ้มีวุฒิครู...ทั้งครูพ.กศ.,ป.กศ.,ป.กศ.สูง,พ.ม.และมีแถมผู้ที่ได้รับวุฒิทางอาชีวศึกษาปวช.,ปวส,อาชีวะสูง ทางเกษตร ทางช่าง,รับไม่อั้นเขาบอกว่าครูขาดแคลน...โดยเฉพาะด้านวิชาชีพ...เขาประกาศว่าขาด...ครู.สลน.,ครู.สปช., ครู.กพอ.อันความหมายของคำย่อเราไม่รู้...เรารู้แต่ วิทย์,คณิต,สังคม,พละ อะไรประมาณนั้น...ซึ่งตอนเรียนครูก็ไม่มีคำย่อพวกนี้...เราไปสมัครสอบ โดยที่หัวยังโล้นอยู่...มีคนสมัครสอบ 5 คน...ทางการรับ 4 คน...เดือนเมษายน...เขาประกาศว่าเราสอบได้และบรรจุเป็นครูในวันที่ 15 พฤษภาคม...โดยเรียงลำดับผู้สอบได้ที่ 1 คือ นายศุภชัย โพธิ์สุ(ครูแก้ว) 2.นายไกรยุทธิ์ โพธิ์สุ(ครูกล้า) 3.นายอารมณ์ เวียงด้าน(ครูไก่) 4.นายคำเส็ง ผงจำปา (ครูเส็ง) จึงเป็นที่มาว่าครู 3 ก.แห่งโรงเรียนบ้านแค (ไก่ แก้ว กล้า)ตำบลสามผง อำเภอศรีสงคราม...ถึงครอบครัวจะได้รับความเศร้าโศก เราก็ทำให้แม่น้องๆ ญาติพี่น้อง ได้รับความสุขเช่นเดียวกัน...

วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ครู ป.กศ.แอ้...แต่ตกงาน


๑๑๑ช่วงเป็นนักศึกษา...เป็นยุคเฟื่องฟูของกิจกรรมนักศึกษา...ตามสโลแกน กูเป็นนิสิต นักศึกษา มีปัญญามากมายมหาศาล...ทั้งปัญญาชน...คนอันธพาล...ร่วมประสานเป็นพลัง...สร้างศรัทธาของมหาชน...เราเป็นกรรมการศูนย์กลางนักศึกษาเป็นตัวแทนสายชั้นปี...ผู้นำยุคเราเข้าป่าเป็นทั้งเพื่อนร่วมกิจกรรม...เพื่อนบ้านเดียวกัน...ปัจจุบันเขาเป็นผู้แทนราษฎร...เป็นนักเรียนทุนกันดารที่สอบแข่งกับเรามา...อดีตเป็นประธานนักเรียนคนแรก...ของโรงเรียนสหราษฎร์...เป็นนักปลุกระดม...เป็นดาวไฮปาร์ค...สุดท้ายหนีเข้าป่า...เป็นคอมมิวนิสต์...ตามข้อกล่าวหาของรัฐบาลยุคหอยครองเมือง...เพื่อนหนีเข้าป่า(เขาชื่อครูแก้ว)...เราพาเพื่อนที่หนีมาจากธรรมศาสตร์กลับไปซ่อนตัวอยู่ที่บ้าน...เหตุการณ์สงบเราเรียนต่อจนจบ...ได้วุฒิครูติดตัวทุนคึกฤทธิ์ไม่มีสักบาทเดียว...จบมาแล้วไม่มีงานรองรับ...งานกับเงินมันไปกับคึกฤทธิ์...ไม่มีการเปิดสอบบรรจุครูอีกเลยตั้งแต่จบมา...เพื่อนที่หนีเข้าป่าได้ข่าวเพียงว่ามาเยี่ยมแม่ที่บ้านแค...โดนปิดล้อมแต่สุดท้ายปลอดภัยและหนีไปได้...และไม่เคยได้ติดต่อกันอีกเลย...เราขอพ่อหนีจากบ้านไปเผชิญโชคที่ กทม...เรียนต่อรามคำแหงคณะรัฐศาสตร์ เพราะลูกลุงเราเรียนที่นี่อยู่แล้ว...เรียนไปทำงานไปทำกิจกรรมไป เกเรเที่ยวเตร่ตามประสาเด็กวัยรุ่น...แถมเป็นลูกชายคนโต...เป็นลูกครูพ่อมีเงินเดือน...เรียนบ้างไม่เรียนบ้าง...เพราะเป็นยุคของพวกเรา...เรียนอยู่สามปี ได้ 70 กว่าหน่วย...น้องๆเริ่มโตไล่ตามหลังมา...
................วันที่ 2 ตุลาคม 2523 เป็นวันที่ฝนตกหนักทั่วกรุงเทพ...มีการประกาศของมหาวิทยาลัยรามคำแหง...งดการเรียนและงดสอบไม่มีกำหนด...เราไปเรียนตามปกติ...เดินเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้...น้ำท่วมเกือบถึงป้ายมหาวิทยาลัย...เรากับเพื่อนๆ...ฉลองต่อที่ไม่ได้สอบ...ตั้งใจจะกลับไปบ้านที่ศรีเวินชัยเพราะไม่ได้กลับนานแล้ว...พอมาถึงหอพักประมาณ 2 ทุ่มเศษ...มีคนเอาโทรเลขมาให้ 3 ฉบับ...ฉบับแรก พ่อป่วยหนักกลับบ้านด่วน...2ฉบับหลัง มีข้อความว่า...พ่อเสียแล้ว กลับบ้านด่วน...โลกทั้งโลกหมุนติ้ว...ยืมเงินเพื่อนเป็นค่ารถ...เรียกแท็กซี่ไปหมอชิด...

วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551

นักศึกษาครูภาคค่ำ...


...ออกจากปิยะฯไม่ได้มีความเข้าใจหรอกว่าจะเรียนอะไร...มศ.3 ไม่ครูก็ตำรวจ...แต่ตำรวจไม่ได้สอบตอนจบใหม่...นึกอยากสอบตอนไหนก็สอบ...ไอ้อ้วน(ลูกพ่อเหรียญ)มันไปสอบเกษตรกาฬสินธิ์...มันบอกว่าสอบง่ายๆขุดดินคิวคูณคิวก็ได้เรียน...แต่เพื่อนหลายคนบอกว่า...อยาก..?..(ได้หญิง)ให้เรียนครู...อยากบู้ให้เรียนเกษตร...อยาก เสต็จให้เรียนการช่าง...และมันเยาะเย้ยหลังพวกมันได้เข้าเรียนแล้วว่า "ครูกลับกบ้านพายกระเป๋ากับเกิบ เกษตรกลับบ้านพายแบ้งค์ขี่รถแลนด์"เราไปสอบทุนครูกันดาร...ของวิทยาลัยครูสกล...ไอ้จ่อยลูกลุงเราก็สอบด้วยกัน...ตกทั้งคู่...แพ้นักเรียนโรงเรียนอำเภอ...เราไปสอบภาคค่ำ...ได้เรียนภาคค่ำวิทยาลัยครูสกลนครรุ่นสุดท้าย...เรียนเทอมแรก...เป็นหัวหน้าชั้น...ร่วมเป็นกรรมการนิสิตนักศึกษา...สายชั้นปีที่ 1ทำกิจกรรมร่วมกับทุกชมรมออกค่าย...จัดเที่ยว...อาสาพัฒนาเรื่อยไป...ใครชวนไปหมด...อายุ 18 เป็นนักกิจกรรมเรียนไม่ทันเพื่อน...เงินไม่พอใช้...ไม่ได้จ่ายค่าเทอม...สุดท้ายอาจารย์ให้ดรอป...เรียนได้เทอมเดียว...กลับบ้านไปหาปลา...หลังจากพ่อ..แม่...เสียน้ำตาเพราะไม่สนใจเรียน...อยู่บ้านก็พาเพื่อนทำกิจกรรม...ไปแข่งฟุตบอลเชื่อมสัมพันธ์กับบ้านอื่น...พาเพื่อนงันต้น...ทอดต้นทุกวันพระ...นอนเลียแผลทบทวนชีวิตที่ผ่าน...เข้าใจว่าทางวิทยาลัยจะเรียกไปเรียนต่อ...ปรากฏว่าโดนรีไทร์(ไล่ออก)ในเทอมต่อมา...เขาบอกว่าหมดสมาชิกภาพ...
....ปีนั้น...หม่อมคึกฤทธิ์ ปราโมช...เป็นนายกรัฐมนตรี...เจ้าของนโยบาย ขุดคลองให้เป็นถนน...ทำถนนให้เป็นคลอง...เจ้าของประชานิยมยุคแรก...จนต่อมาทุกพรรคการเมืองต้องลอกนโยบายของแกมาใช้ทุกพรรค...คึกฤทธิ์...แจกทุกอย่าง...ทำถนนขุดคลองใช้แรงคนแทนเครื่องจักร...ช่วงไม่ได้เรียนก็ไปรับจ้างกับเพื่อนๆ...ขุดคลองทำทางเพื่อเอาสตางค์คึกฤทธิ์...นายกคึกฤทธิ์...เปิดโอกาสให้คนรากหญ้า...มีทุนคึกฤทธิ์เพื่อผลิตครูที่ขาดแคลน...โดยให้สภาตำบลอันมีกำนันเป็นประธานการสอบ...ครูใหญ่ภายในตำบลเป็นกรรมการ...ออกข้อสอบเองโดยสอบสัมภาษณ์...เราสอบได้ทุนคึกฤทธิ์...ไปเรียนครูต่อภาคปกติ 2 ปี จบ...เพื่อนๆเรียกเราว่าครูไก่...คำว่าครู...จะเป็นคำนำหน้าคนที่เรียนครู...จะได้เป็นครูหรือไม่อยู่ที่เทวดา(แถน)เป็นผู้กำหนดชะตา...

วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2551

นักเรียนในเมืองผู้นำยุคแรกของหมู่บ้าน

เพื่อน ป.4ได้เรียนหนังสือต่อ 4 คน ผู้ชาย 3 หญิง 1...ผู้หญิงเรียนอยู่อำเภอ เราผู้ชายเรียนอยู่จังหวัด...เรากับไอ้อ้วน(ลูกพ่อเหรียญ)อยู่ปิยะไอ้จ่อย(ลูกลุงเรา)อยู่ ร.ร.ส่งเสริม(โรงเรียนราษฎร์) 3 ปี มศ.1-มศ.3ได้เรียนรู้...ได้ความแตกต่าง...ได้เพื่อนที่หลากหลาย...ทั้งเจ็ก...ลาว...ญวน...ขี้ยา...นักเรียน...นักเลง...นักมวย...เด็กเกเด็กเรียน...ลูกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่...ลูกกรรมกรสามล้อ...ลูกเมียเช่าฝรั่ง...ฯลฯ...คบได้หมด...อยู่ มศ.2 เราดูดยาซองเป็นเราอยู่กับน้า...(น้องแม่)น้าเราทำงานแค้มป์ทั้งผัวทั้งเมีย...น้าชายทำงานเป็นผสมเหล้า(บาร์เทนเดอร์)น้าหญิงทำงานเสริฟตอนกลางคืน...กลับมาบ้านน้าแกจะวางเงินเหรียญ 5 เหรียญ 2 (เซน)ไว้บนตู้เย็น...แกบอกว่าก่อนไปโรงเรียน...หยิบเอาเลย...เรามีเงินฝรั่งใช้ไม่ขาดมือ...บางวันหยิบเอาซองบุหรี่มาร์โบโล...ซาเล็ม...ของแกไปด้วย...เราไม่ได้สูบนะเอาไปฝากเพื่อน...แต่หลายครั้งเข้า...เราสูบเอง...สูบกันในห้องน้ำ...รู้สึกมันท้าทาย...รู้สึกว่ามันโก้...ความเป็นหนุ่ม...ถูกยอมรับจากเพื่อน...เท่ห์อย่าบอกใคร...จากบุหรี่...เราเรียนยัดไส้กัญชาขายให้ฝรั่ง...มวนละ 10 บาท ...เรามีเงินใช้ไม่ขาดมือ...เราดูดกัญชา...กินเบียร์ ดึ่มเหล้ากับเมียเช่าฝรั่ง...เรารู้จักเมียจีไอ..เขาสอนภาษาอังกฤษเรา...เขาพูดกับฝรั่งเวลาจะหาเงินว่า...เฮ้ บักจอน...ยูสลีบออนไอ(เอามือประกบกัน)แงบ แง๊บ แง๊บ ฟายเทนบาท โนทอน...สำเนียงลาวปนฝร้ง...บักจอนพยักหน้าหงึกๆด้วยความเข้าใจ...ส่วนเรางงเพราะครูภาษาอังกฤษไม่ได้สอนอย่างนี้...เราจบมศ.3ด้วยความทรหดดีที่ไม่ได้เรียนเป็น%...แต่เรียนเป็นเกรด...และไม่ได้เรียนร่วมกับเพื่อนเก่า มศ 1-3เปลี่ยนห้องเปลี่ยนเพื่อนตลอด...

วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2551

นักเรียนประถมปลาย


พ่อให้เราอยู่กับป้าลุง...ในโรงเรียนประจำอำเภอคือโรงเรียนอุเทนวิทยาคาร...ป.5.6.7.เป็นเรื่องยุ่งยากมากมายของเด็กบ้านนอก...ที่ไม่เคยสวมรองเท้าไปโรงเรียน...พ่อปรารถนาดีต่อเราซื้อรองเท้า...กางเกง...เสื้อ...ที่ใหญ่เกินขนาดให้เราพ่อบอกว่าเผื่อใหญ่...แต่เพื่อน ๆมันบอกเราว่าเหมือนการ์ตูน...เราไม่เข้าใจคำว่าการ์ตูนคืออะไรเราไม่รู้จักจริงๆเพราะที่บ้านเราไม่มีไฟฟ้าตั้งแต่เกิดมา...การ์ตูนมันมากับโทรทัศน์...การ์ตูนเรายังไม่รู้จัก...ไหนเลยจะรู้จักโทรทัศน์...ครูสอนภาษาอังกฤษ...เราไม่รู้เรื่อง...แต่เพื่อนมันเขียนเป็นมันว่าพี่มันสอน...มันเรียนอยู่เด็กเล็ก...อะไรคือเด็กเล็ก...เรียนไม่ทันเพื่อน...เราเป็นลาวเพื่อนมันเป็นญ้อ...สำเนียงเอกโทมันชัดเจน...จากเคยสอบได้เลขตัวเดียวเราเกือบสอบตก...ป.5 ขึ้นป.6เราสอบได้ 50กว่า% ป.6 ขึ้นป.7 ได้70 กว่า% จบป.7 ได้ 80 กว่า เลขตัวเดียวในลำดับที่ต้นๆของห้อง...แสดงว่าการเรียนง่ายขึ้นสำหรับเรา...เราจบประถมต้นโรงเรียนประจำหมู่บ้าน...ป.ปลายโรงเรียนประจำอำเภอ...จบ ป.7 ชักสนุกกับการเรียน...เราไปสอบเรียนต่อโรงเรียนประจำจังหวัดนครพนมคือโรงเรียนปิยะมหาราชาลัย...เราสอบได้...ขณะที่นมเรากำลังแตกพาน...มีฝรั่งมากมายเดินเป็นมดงาม...ผู้หญิงผมแดงเดินสูบบุหรี่...ขี่คอนิโกร...พูดภาษาอังกฤษปนไทยจนฟังไม่ได้ศัพท์...แต่เห็นฝรั่งพยักหน้าหงึกๆด้วยความเข้าใจ...และสนุกสนาน..

วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2551

จบ ป.4 หนีจากบ้าน



ผ่านชีวิตเด็ก...ที่ค่อนข้างแข็งแกร่งตามสภาพดินฟ้าอากาศ...บ้านเรายังไม่มีถนนไปอำเภออีกเช่นเคย...ต้องนั่งเรือหางยาวเข้าอำเภอวันละเที่ยว...ไปเช้ากลับเย็น...พ่อไปรับเงินเดือน...ต้องไปทั้งวัน...ตอนเย็นเรากับน้องและเพื่อนๆจะลงไปเล่นน้ำ...รอพ่อกลับมา...พ่อจะมีส้มเขียวหวานเหี่ยวๆมาฝากพวกเรา...มีปลาทูเน่าที่แม่ชอบมาให้แม่ตำกะปิ...บางทีโชคดีพ่อจะมีลูกฟุตบอลที่อำเภอแจกให้โรงเรียนมาด้วย...พ่อสอนคนละโรงเรียน...เราและน้องๆ...มีสิทธิ์แค่อุ้มลูกบอลไปอวดเพื่อนๆ...
....จบป.4ก่อนหนีจากบ้านการดำรงชีวิต...เพื่อเอาตัวรอด...ต่อสู้กับธรรมชาติ...สิ่งแวดล้อม...เราสอบผ่านเกิอบร้อยเปอร์เซนต์ ส่วนหลักสูตรโรงเรียน...ถือว่าจบชั้นประถมสมบูรณ์...หลักสูตรอาชีวะเราก็จบ...ทั้งทำเบ็ด...ต่อมอง...สานแห...พายเรือทำมาหากิน...ด้านเกษตรก็ไม่ได้คุย...เราทำเป็นหมดทั้งนาปี...นาข้าวลอย...ปลูกข้าวโพด...ปลูกผัก...ส่วนผลไม้ไม่ต้องปลูก...เวลากินแล้วกลืนเมล็ดมันเวลา...ปลดทุกข์ตอนเช้า...ปล่อยไว้อย่างนั้นถึงหน้าฝนมันเกิดเอง...เพื่อนเราบางคนที่จบป.4...สองปีมันเอาผัวและมีลูก...เราถูกพ่อบังคับให้ไปอยู่กับป้าที่ท่าอุเทน...พ่อบอกต้องไปเรียนหนังสือ...เราไม่อยากเรียนเพราะไส่เบ็ด...หาปลาก็พอได้แก้...วันหนึ่งได้สักสามกิโลก็สิบบาทแล้ว...พ่อบอกมันไม่ใช่วิถีที่ยั่งยืน...เรียนจบแล้วค่อยกลับมาหากินก็ได้...เราเป็นเด็กหัวอ่อน...ว่านอนสอนง่าย...พ่อพาเราเข้าอำเภอ...ไปขอหนังสือเก่าจากญาติพ่อ...เราตื่นเต้นที่ได้เห็นอำเภอ...ตั้งแต่เกิดเรามาไกลสุดแค่บ้านท่าบ่อ...เพื่อมารับเสด็จพระเจ้าแผ่นดินและพระราชินี...เราจำได้เราใส่ชุดลูกเสือ...แต่ไม่มีรองเท้า...ปี2512...รับเสด็จคนบ้านสามผงเรือล่มจมน้ำตายด้วย...เรามารับเสด็จเห็นแต่เฮลิคอปเตอร์แค่นี้ก็ตื่นเต้นแล้ว...

วันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เรื่องที่อยากให้คนอื่นรู้...เพื่อความหมั่นไส้...




@@@ก่อนเกิด ถึงเกิด... แม่เคยเล่าให้ฟังตอนที่อายุได้ 3 ขวบนั่งเรือกะแซงจากบ้านไปงานพระธาตุพนม...บ้านเราไม่มีถนน...แต่บ้านเราติดริมน้ำสงคราม...และก่อนเราเกิดเพียงยี่สิบกว่าปี...บ้านเราเป็นที่ตั้งกิ่งอำเภออากาศอำนวยนั่นหมายความว่า...เราเป็นคนบ้านนอกที่เกิดในตัวเมือง...ถึงว่า/...แม่จึงคุยนักคุยหนาว่าเราตัวขาว...เหมือนคนในเมืองไปไหนมีแต่คนอยากอุ้มขึ้นลงเรือ...แม้กระทั่งพระที่นั่งเรือไปด้วย...ยังเอาฝ้าย...เอาเหรียญ...และของจากย่ามยื่นใส่มือให้... แม่บอกเราว่า...สงสัยเป็นคนมีบุญมาเกิด ...โตขึ้นจะได้เป็นเจ้าเป็นนาย... และก็ได้เป็นจริงๆเมื่อตอนอายุครบวันถ่ายบัตรประชาชน... เปลี่ยนสภาพจากเด็กชายเป็นนาย...ตอนอายุ 18 พอดี...แสดงว่านายเราได้เป็นแล้ว...เหลือแต่เจ้า...นับจากวันที่จอมพลสฤษดิ์ปฏิวัติมา 18 ปี...เราก็ถ่ายบัตรประชาชน ยายเราบอกว่าเราเป็นญาติ...จอมพลสฤษดิ์ด้วย...เพราะยายเราเป็นคนเมืองมุกดาหาร...เป็นลูกสาวขุนบาล...ผู้คุมคุกเมืองร้อยเอ็ด...(ถึงเรายังไม่ได้เป็นเจ้า...เราก็มีเชื้อเป็นขุน...) ยายเราแต่งงานกับตาด่อง พูลศิลป์ ศึกษาธิการอำเภอเมืองมุกดาหาร...เงินเดือน 8 บาท ....ลูกหลายคนหากินลำบาก... หอบลูกหลานมาอยู่ที่บ้านศรีเวินชัย...หรือกิ่งอำเภออากาศอำนวย...มีอาของยายเราเป็นพ่อเมืองชื่อขุนพนมอำนวยสุข(คำไพ มณีปกรณ์)ต่อมาย้ายกิ่งไปที่บ้านท่าบ่อ...และบ้านปากอูน ยายกับตาเราไม่ได้ย้ายตาม...จับปลาขายเลี้ยงลูกหลานที่บ้านศรีเวินชัยต่อไป...จนสิ้นอายุไขของคนทั้งสอง...

@@@@@จำเหตุการณ์ได้จนเป็นหนุ่ม... เรารู้จักตัวอักษรตั้งแต่เราพูดเป็น เพราะเราเป็นลูกครู...พ่อเราเป็นญ้อ...เกิดที่บ้านท่าอุเทน...เป็นคนในเมืองเช่นเดียวกับเรา...เพราะบ้านพ่อเมื่ออดีต...ชื่อว่าเมืองอุเทน...พ่อเรียนสูงกว่าทุกคนของตระกูล...และเรียนไกลด้วย...พ่อเป็นลูกกำพร้าแม่ตั้งแต่เกิด...อาศัยกินนมคนข้างบ้าน(แม่บุญธรรม)เกิดก่อนพ่อคือ...พี่สาวและพี่ชายอย่างละคน...เป็นคนเลี้ยงและดูแลพ่อมาจนจบประถม 4 และพ่อก็กำพร้าพ่ออีกคน...(หมายความว่า...ปู่เราตายไปอีกคนนั่นแหละ)พ่อจบ ป.4 ไปเลี้ยงควาย ต่อนกเขา จับปลาอยากเรียนหนังสือต่อ...จนปัญญา...แต่...โชคพ่อยังดี...มีพี่เขยเป็นครู...มีโรงเรียนราษฎร์...เกิดขึ้นในเมืองอุเทน...ขาดคนเข้าเรียน...พ่อจบ ป.4 มาแล้ว 3 ปี ขอพี่เขยเรียนต่อ...พ่อจบโรงเรียนราษฎร์แสงอุเทน...แล้วได้ไปเรียนต่อ...โรงเรียนเกษตรอยุธยา...หาเงินเรียนเอง...พ่อเป็นนักมวย...เป็นมวยนักเรียน...เป็นแชมป์จังหวัดเรียนจบมาได้วุฒิอาชีวะปลาย...เขา...(ทางการ)...ให้พ่อไปเป็นครู...อยู่บ้านนอก...อันเป็นบ้านใหม่ที่ให้ชีวิตใหม่กับพ่อ...พ่อลูกกำพร้าทั้งพ่อและแม่แต่...เป็นข้าราชการครู...มีเงินเดือน...ได้ใช้จ่ายไม่ขัดสน...โรงเรียนบ้านขามเปี้ย ต.บ้านข่า อ.ศรีสงคราม...อยู่คนละฝั่งน้ำสงครามกับบ้านเกิดผม...พ่อสอนหนังสือ...ให้ความรู้มวลมนุษยชาติอยู่ 3 ปี เราจึงเกิดมาดูโลก...พ่อมีเพื่อนเป็นครูสอนโรงเรียนเดียวกัน...เสาร์อาทิตย์พ่อมาเที่ยวบ้านเพื่อนที่ศรีเวินชัย...พ่อได้พบกับลูกสาวอดีตศึกษาธิการอำเภอ...น้องสาวครูใหญ่โรงเรียนบ้านศรีเวินชัย...ทั้งคู่แต่งงานกัน...ทำอะไรกันต่อเราไม่เห็น...แต่เรารู้ว่าหลังจากเราเกิด...ก็มีคนเป็นหญิง...เป็นชาย...เป็นหญิง...และผู้ชายอีกสองคนตามหลังเรามา...แม่บอกเราว่า...เจ้ามีน้อง 5 คนนะ...

@@@@@เราว่ายน้ำเป็นตอน 4 ขวบ วันไหนไม่ได้ไปโรงเรียนกับพ่อ...เราจะรอเพื่อน...พี่...น้อง...ลงเล่นน้ำสงครามตั้งแต่ กินข้าวเที่ยงจนถึง บ่าย 2โมงทุกวัน บางวันเป็นตาแดง...บางวันเราเห็นลุง...แกเป็นครูใหญ่มาไล่ต้อนเด็กขึ้นจากน้ำเพื่อ...ไปโรงเรียน...บางวันก็เป็นพี่สะใภ้แม่...(ป้าผม)...แกเป็นครู...เป็นเมียครูใหญ่เป็นครูประจำชั้น...เป็นนางพยาบาล...เป็นนักเล่านิทานให้เด็กฟัง...วันไหน...ครูใหญ่ไม่อยู่แกก็เป็นครูใหญ่แทน...วันไหนแกเข้าอำเภอทั้งสองคน...สวรรค์น้อยๆ...สำหรับพวกเราทุกคน...เพราะ...ไม่ต้องไปโรงเรียน...ทั้งโรงเรียนมีครูผัวกับเมีย

@@@@@อายุตามเกณฑ์เข้าป.1ก็เข้าเรียน แต่สิ้นปี...ลุงแกไม่ให้ขึ้นชั้นแกบอกว่าไม่ได้เอาชื่อเข้าทะเบียนโรงเรียน...ต้องเรียนซ้ำชั้นอีกหนึ่งปี...แต่ที่ไหนได้...แกจับเราเรียนเป็นเพื่อนกับลูกแก...เพราะแกมีลูกตั้ง 9 คน มีเรียนอยู่ทุกชั้นคนโต...คนรอง...เข้าโรงเรียน ม.ในตัวอำเภอ...แกกลัวไม่มีเงินส่งเรียนเลยดองเราไว้...เราเรียนเก่งนะ...สอบได้เลขตัวเดียวตลอดตั้งแต่ ป.1ถึง ป.4...ทั้งชั้นเรียนมีเพื่อนทั้งหมด 13 คน ไม่มีการสอบแก้ตัวมีแต่สอบได้กับตก...เราเป็นคนมีความสามารถนะ...4 ขวบ ว่ายน้ำเป็น...5 ขวบ อ่านนายใหม่รักหมู่เป็นเด็กดีได้...ก็เพราะเราเป็นลูกครูนี่นา...เข้าเรียน ป.1ลุงเราจับเราเป็นัวหน้าชั้น...ถือไม้เรียวแทนลุง...และเป็นตลอดไม่ใครแย่งได้เลย...ขึ้น ป.3 คุมสอบ ป.1 แทนลุง... อยู่ ป. 4 เป็นครู วันไหนลุงไปอำเภอ เหลือป้าคนเดียว... ป.1,2...วิชาเลข คัด เลิก เราเป็นคนสอน ให้การบ้านน้อง ๆ...อีกต่างหาก...เราไม่ได้เป็นประธานนักเรียน...เพราะไม่มีการเลือกตั้ง แต่...เราถูกลุงแต่งตั้งให้คุมแถวช่วยเคารพธงชาติ...เป็นหัวหน้านำสวดมนต์...ร้องเพลงชาติ...หัวกิจกรรมในวันสุดสัปดาห์...ใครไม่ฟังคำสั่ง...เราจัดการ...เล่นยาง...เล่นหมากเก็บ...เตะฟุตบอล...ต้องฟังกติกาจากเรา...ใครอยากชนะ...ต้องเข้าทางเราอยูทีมเดียวกัน...ชนะตลอดการ...เราแพ้...เราเปลี่ยนกติกา...วันหลังไม่ให้เล่นด้วย...หึ..อำนาจมี...บารมีเกิด...เพราะความเป็นลูกครู...หลานครู...โก้จะตาย...