วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2551

อยากมีเมีย...(หวังสร้างอนาคต)เขาว่าอย่างนั้นจริงๆ....
















0000ตั้งแต่เป็นครูลงไปสอบรามคำแหงครั้งเดียว...เงินเดือนพันกว่าบาท...เรียนรามปีสี่...ระหัสวิชาสูงขึ้น...การสอบแต่ละวิชาห่างกันจะเทียวลงไปสอบ...มีข้อจำกัด...เงินเดือนจ่ายค่ารถได้ครั้งเดียว...ลาติดต่อกันก็สงสารเด็ก...เห็นทีวิชารัฐศาสตร์จะเป็นเส้นขนานกับอาชีพครู
0000ลุงเรา(ครูดรุณ อาจารย์ใหญ่โรงเรียนบ้านศรีเวินชัย)อาจารย์ใหญ่คนแรกของตำบลสามผง...ที่มาจากการสอบเป็นอาจารย์ใหญ่...แนะนำว่ามาทางครูน่าจะไปทางครู...ปริญญาทางครูน่าจะเหมาะสมกับวิชาชีพ...และให้สมัครสอบ พม.(พิเศษครูมัธยม)แต่ครูรุ่นพี่แย้งว่าสอบพม.มันยากเพราะคนที่บรรจุก่อนเรายังไม่มีใครสอบได้เลย...เอ้อ...มันก็ท้าทายดี...เราสมัครสอบพม.สองปีได้ 3 ชุดวิชาครู...วิชาภาษาไทย...วิชาสังคม...อบรมภาคฤดูร้อนวิชาพละเดือนเมษายนปีต่อมาที่วิทยาลัยพละศึกษามหาสารคาม...ครบ 4 ชุดได้วิทยฐานะครูเพิ่มเงินเดือนเพิ่มเป็น 7 ขั้นแถมหนีบเอาเพื่อนเอาพี่ๆน้องๆในกลุ่มสามผงไปสอบได้กันทั่วหน้า...ก็ไม่เห็นจะยากนะ...
0000วันที่ 5 สิงหาคม 26 ปรับวุฒิ พม.จากครู 1 ระดับ 1ขั้น 1,865 เป็นครู 2 ระดับ 2 ขั้น 2,625 โรงเรียนบ้านแค...1 ตุลาคม ปรับเงินเดือนอีกหนึ่งขั้น...จากครู ป.กศ.แอ้ มีวุฒิอนุปริญญาต่อท้าย...ในห้วงนั้นมี มสธ.มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช อันเป็นมหาวิทยาลัยเปิดแห่งที่ 2 เกิดขึ้นส่งสัยว่าวาสนารัฐศาสตร์รามคำแหงต้องหันหลังให้กัน...เพราะ มสธ.เปิดโดกาสให้กับทุกคน...ทุกสาขาอาชีพ...ที่มีวุฒิม.6ขึ้นไปสามารถเรียนเพิ่มเติมได้หรืออยากมีความรู้ต่างสาขาก็ได้...โดยเพียงแต่ลงทะเบียนเรียนทางไปรษณีย์...แล้วไปรษณีย์ก็จะนำหนังสือส่งให้ถึงบ้าน...อ่านอ่านและก็อ่านถึงเวลาไปสอบ...ผ่านเร็วจบเร็ว...ไม่ผ่านก็สอบซ่อม...แก้ตัวจนกว่าจะผ่าน...
0000 คณะศึกษาศาสตร์สาขาบริหารการศึกษา...คือวิชาที่เราจะต้องต่อยอดอีกสองปีก็จะได้ปริญญาตรี...เราไปสมัครเรียนลงทุนแค่ครั้งหนึ่งไม่เกินสองพันบาท...ดีกว่าเทียวลงกรุงเทพไปสอบราม...
0000ตั้งแต่เริ่มต้นตีแผ่เรื่องของเราให้ท่านทราบ...เรายังไม่เคยเล่าเรื่องผู้หญิงให้ฟ้งเลยนั่นแสดงว่าเราเป็นคนที่หญิงไม่ยุ่งมุ่งแต่งาน...ที่ไม่ได้กล่าวถึงเพราะเธอไม่ใช่หญิงสาธารณะที่จะนำมากล่าวให้ใครฟัง
0000จบม.ศ.3 จากปิยะปี 17 รอไปเรียนต่อภาคค่ำที่วิทยาลัยครูสกลนคร คืนนั้นเราไปดูหนังกลางแปลงที่บ้านสามผง...ไปเจอเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง(มีแววเป็นสาวแล้วนะ)ตัวเขียวยังกะแมงทับ...แต่รอยยิ้มเธอทำให้โลกทั้งโลกสว่างไสวคลายความม่นหมอง...นับจากวันนั้นจนถึงปี27 รวมเวลา 10 ปีเราขอเธอกินดอง...เธอก็พยักหน้า...เพราะเธอก็มีเราคนเดียว...วันที่เราไปขอประมาณเดือนธันวาคม...ป้าเรา(ครูอำนวย)ได้ถอนแหวนในมือท่านหมั้นไว้ก่อน...โดยที่เราไม่มีเงินสักบาทเดียว...แล้วนัดแต่งในเดือนหน้าเรากู้เงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์ครูเป็นค่าดอง...ในวันศุกร์ที่ 13 มกราคม 27 คืองานสุขสันติ์วันกินดองของเรากับเจ้าหน้าที่สรรพากร 1 สำนักงานสรรพากรจังหวัดหนองคาย...ตั้งแต่นั่นมาเราก็ได้เมียผ่อนส่ง...เพราะจากวันนั้นถึงวันนี้...เรายังจ่ายหนี้สหกรณืไม่หมด...เพราะยืมแล้วยืมอีก...จนลาออกจากครูก็ยังไม่หมด...เรายังสอนอยู่บ้านแค...เธอ...นังลุ่ม...อยู่หนองคาย...ไม่มีโอกาสข้าวใหม่ปลามัน...แต่ค่าดองหนึ่งหมื่นบาทกับทองหนึ่งบาท...นับมาถึงวันี้ก็คุ้มแล้วล่ะ...

ไม่มีความคิดเห็น: